ประเพณีงานแต่งงาน
ขั้นที่
1 : ทาบทามพ่อล่าม แม่ล่าม
เมื่อฝ่ายว่าที่เจ้าป่าวได้แจ้งเรื่องให้ญาติพี่น้อง พ่อแม่ให้ทราบถึงจุดประสงค์ที่จะทำการแต่งงาน
เมื่อมีความพร้อมแล้วและทุกคนเห็นชอบก็จะมีการปรึกษาหารือกันและกันว่าจะไปทาบทามครอบครัวไหนมาเป็นพ่อล่ามแม่ล่าม หรือเป็นล่าม
ในการติดต่อกับญาติฝ่ายเจ้าสาวให้
ขั้นที่ 2 : การโอม (ทาบทามเพื่อมั่นหมาย :
สู่ขอลูกสะใภ้)
บทบาทนี้ถือเป็นภาระสำคัญของพ่อล่าม
แม่ล่าม
ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในการออกหน้าแทนพ่อแม่ว่าที่เจ้าบ่าว
ในการพูดคุยกับญาติฝ่ายว่าที่เจ้าสาวหรือลูกสะใภ้ในอนาคต โดยอาจส่งคนไปบอกนัดหมายเจรจากับญาติ (เจ้าโคตร)
ฝ่ายเจ้าสาว
โดยนัดหมายวันและเวลาที่เหมาะสม
ขั้นที่ 3 : การตัดไม้เพื่อทำเสาขวัญ
เฮือนสู่ (เรือนหอ) และการเตรียมงานแต่งงาน หลังจากเจรจาตกลงกันได้ด้วยดี ฝ่ายชายต้องรีบดำเนินการตามข้อตกลง คือ
รีบจัดหาไม้
เพื่อทำเรียนหอและทำการก่อสร้างโดยให้ความสำคัญกับการตัดและเลือกต้นไม้ที่มาตั้งเป็นเสาขวัญ (เสาเอก)
โดยมีพิธีกรรม คือ คนที่เป็นพ่อล่าม พ่อ
แม่ฝ่ายว่าที่เจ้าบ่าวก็ไปคัดเลือกต้นไม้เนื้อแข็งที่มีลักษณะดี เพื่อทำเป็นเสาขวัญ ซึ่งไม้ที่นิยม คือ
ไม้จิก ไม้แดง ไม้ประดู่
ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง
โดยจะมีการทำพิธีก่อนล้มต้นไม้เพื่อตัดเป็นเสา
ขั้นที่ 4 : วันแต่งงาน
กิจกรรมวันแต่งงานนอกจากจะเป็นวันสำคัญในชีวิตของคู่บ่าว -
สาวแล้วยังถือเป็นวันสำคัญของพ่อล่าม – แม่ล่าม ที่จะต้องมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่แทนพ่อแม่เจ้าบ่าวในการออกหน้านำขบวนเจ้าบ่าวเข้าพิธีแต่งงาน
ที่บ้านของเจ้าสาวหรือที่เรือนหอที่สร้างไว้
โดยพ่อล่ามแม่ล่ามก็จะแต่งกายชุดพื้นเมืองสวยงาม เดินนำหน้าขบวนแห่เจ้าบ่าวจากบ้านพ่อแม่ไปยังบริเวณงาน
ลักษณะเด่นของพ่อล่ามแม่ล่ามที่สังเกตได้ง่าย คือ
จะถือง้าว และสะพายย่าม
เดินนำหน้าและมีภรรยาหรือแม่ล่ามเดินตามหลัง แล้วตามด้วยเจ้าบ่าวที่แต่งตัวหล่อสุดๆ ตามมาติดๆ
ด้วยญาติฝ่ายเจ้าบ่าวถือสัมภาระที่จำเป็น
เช่น ขันหมาก ถาดบรรจุสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้
เนื่องจากปัจจุบันพิธีการแต่งงานของคนภูไท ได้ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม สภาพสังคมและเศรษฐกิจ
แต่ก็ยังมีบางพื้นที่ที่ยังคงพิธีการแต่งงานที่เป็นเอกลักษณะของชาวภูไทไว้
พิธีการเหยา
เป็นพิธีกรรมความเชื่อในการนับถือผี เป็นการเสี่ยงทายเมื่อมีการเจ็บป่วยของครอบครัวก็เชื่อว่าเป็นการกระทำของผี จึงมีพิธีเหยาเพื่อแก้ผี ว่าผู้เจ็บป่วยนี้ผิดผีด้วยสาเหตุใด ผีต้องการให้ทำอะไร
จะได้ปฏิบัติตามแล้วอาการเจ็บป่วยจะได้หายตามปกติ
ความเชื่อเกี่ยวกับพิธีเหยาของชาวภูไทที่ต้องอ้อนวอนอัญเชิญผีฟ้า
ให้มาช่วยรักษาผู้ป่วยนั้น ด้วยการเชื่อว่าการเจ็บป่วยของมนุษย์นั้น เนื่องจะเกิดจากการละเมิดต่อผี เรียกว่า
“ผิดผี” ผีจะลงโทษให้มีอันเป็นไปต่างๆ
การเหยาหรือการรำผีฟ้าเป็นพิธีกรรมรักษาผู้ป่วย
โดยอัญเชิญผีฟ้าลงมาสถิตในร่างของคนทรงหรือนางเทียม (ผู้หญิงที่สมมุติขึ้น) เพื่อจะให้การทำนายลักษณะอาการของผู้ป่วย
ประกอบพิธีรักษาและเป็นสื่อกลางระหว่างผีที่มากระทำให้ร้ายกับผู้ป่วยให้มีความเข้าใจอันดีต่อกันด้วย พิธีเหยาแบ่งออกได้ 3 ลักษณะ
คือ
1. การเหยาเพื่อชีวิต เป็นลักษณะการเหยาเพี่อรักษาอาการเจ็บป่วย หรือเหยาต่ออายุ ภาษาหมอเหยา
เรียกว่า “เหยาเพื่อเลี้ยมหิ้งเลี้ยมหอ”
2. การเหยาเพื่อคุมผีออก เป็นการสืบทอดหมอเหยา กล่าวคือ
เมื่อมีผู้ป่วยรักษาอย่างไรก็ไม่หาย
เมื่อเหยาดูแล้ว
ผีบอกว่าจะเป็นหมอเหยารักษาจึงจะหาย
ดังนั้นหมอเหยาจึงมีการเหยาคุมผีออก (เนื่องจากผีร้ายเข้าสิง)
ถ้าผีออกผู้ป่วยก็จะลุกขึ้นมาร่ายรำกับหมอเหยาด้วย จะทำให้อาการป่วยนั้นหาย ผู้ที่เป็นหมอเหยาที่ทำหน้าที่เหยาจะมีตำแหน่งเป็นแม่เมือง ส่วนผู้ป่วยที่หายก็จะกลายเป็นหมอเหยาต่อ
3.
การเหยาเพื่อเลี้ยงผี
เนื่องจากในปีหนึ่งๆ หมอเหยาจะไปเหยาเพื่อรักษาผู้ป่วยบ้างหรือเหยาเพื่อจุดประสงค์อื่นบ้างก็ตาม
จำเป็นที่หมอเหยาจะต้องจัดเลี้ยงผีเพื่อขอบคุณผี โดยจะจัดในช่วงเดือน 4
หรือเดือน 5 ของทุกๆ
ปี
แต่ถ้าปีไหนหมอเหยาไม่ได้เหยามากนักหรือข้าวปลาไม่อุดมสมบูรณ์ก็จะไม่เลี้ยง หากแต่จะทำพิธีฟายเหล้า
(ใช้ใบและดอกไม้จุ่มเหล้าและประพรมให้กระจายออกไป) แทน
การรำภูไท
ชาวภูไทมีการแสดงทางด้านนาฏศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งคือการรำภูไท
ซึ่งแต่ละในท้องถิ่นก็จะมีท่ารำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตน
รำภูไทเป็นการแสดงพื้นเมืองอย่างหนึ่งของชาวภูไทที่ได้รับการถ่ายทอดมาเป็นเวลาช้านานจากบรรพบุรุษของชาวภูไท ในสมัยก่อนเรียกการรำภูไทว่า การรำละครไทย
เป็นการแสดงออกซึ่งความสามัคคีในหมู่คณะเดียวกัน โดยการจับกลุ่มรำ
เพื่อความสนุกสนานในงานเทศกาลและรำในงานประจำปี “งานวันรำลึกภูไท 6
เมษายน ”
ของชาวภูไทอำเภอวาริชภูมิ
จังหวัดสกลนคร
รำแสดงในโอกาสเลี้ยงเจ้าปู่มเหสักข์
ท่ารำภูไทสะท้อนให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีการดำเนินชีวิตของชาวภูไท จากอดีตกาลอันยาวนานจวบจนถึงปัจจุบัน
ดนตรีที่ใช้ประกอบการรำภูไทเป็นเครื่องดนตรีของอีสาน ได้แก่
แคน ซอ พิณ กั๊บแก๊บ กลองยาว
กลองตุ้ม ฆ้อง ฉิ่ง
ฉาบ โปงลางและโหวต
ครูผู้สอนรำภูไทเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ในอำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร
ที่ถ่ายทอดลีลาท่ารำให้อนุชนรุ่นหลังต่อๆ
กันมาอย่างต่อเนื่อง
และได้รับการพัฒนาส่งเสริมจนเป็นเอกลักษณ์และสัญลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น จนกลายเป็นศิลปะที่สำคัญอันหนึ่งของอำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร
การประกอบพิธีบุญเดือนสาม
1. เข้าวันขึ้น
3 ค่ำ เดือน 3 ทางจันทรคติ
เวลา 06.30-07.00 น.
พิธีกรกล่าวเชิญชวนชาวภูไทในเขตบ้านวาริชภูมิ
ใช้นำกระทงที่เตรียมไว้มารวมกันบริเวณที่กำหนดไว้ก่อนที่จะนำกระทงมารวมกันผู้เข้าร่วมพิธีอาจจะนำข้าวแดงในกระทง
(บางคนอาจจะนำข้าวเหนียวนึ่งเตรียมมาปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ) ขึ้นมาแตะตามส่วนต่างๆ ของร่างกายแล้วใส่กลับลงไปในกระทง จากนั้นนำกระทงไปรวมกันไว้ตามทิศต่างๆ คือ
ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก
และทิศตะวันตก
ในบริเวณที่กำหนดไว้ตามแต่สะดวก
ผู้ที่ไม่ต้องการร่วมพิธีทางศาสนาลำดับต่อไป ก็สามารถกลับได้เลย ส่วนผู้ที่ต้องการเข้าร่วมพิธีทางพุทธศาสนานั้นนำข้าวสาร อาหารแห้งร่วมพิธีทำบุญตักบาตร
2. เวลา
07.00 - 08.00 น.
ผู้นำชุมชนนำเอาอาหารที่ประชาชนนำมาถวายเจ้าปู่มเหสักข์ จากนั้นจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย โดยพร้อมเพียงกัน พิธีกรอาราธนาศีลห้า ประธานสงฆ์ให้ศีล ทุกคนสมาทานศีล (รับศีล)
พิธีกรอาราธนาพระปริตร
พระสงฆ์สวดให้พร
ถึงบทสวดพาหุงฯ
ทุกคนร่วมกันใส่บาตร
หลังจากพระสงฆ์สวดพระปริตรมงคลจบ
นำภัตตาหารมาถวายพระภิกษุ
พิธีกรกล่าวคำถวายภัตตาหารแล้วประเคน
พระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว สวดให้พร ประพรมน้ำประพุทธมนต์แก่ประชาชน
3. เวลา
08.00 - 10.00 น. คณะสงฆ์ทำพิธีสวดชำระทั้ง 4
ทิศ โดยเวียนทักษิณาวัตร เริ่มจากจุดที่รวมกระทงทางทิศตะวันออก ทิศใต้
ทิศตะวันตก และทิศเหนือ
ประชาชนทั่วไปร่วมกันจุดธูปเทียนในกระทงของตน นำน้ำสะอาดทำพิธีกรวดน้ำในกระทงทุกใบ หลังจาดพิธีสวดเสร็จแล้ว ทำการจุดประทัดจากนั้นคว่ำกระทงทั้งหมด
4. เวลา
10.00 - 10.30 น. หลังจากพิธี
ประชาชนส่วนใหญ่เข้าไปเก็บเศษวัสดุต่างๆ
นำไปทำปุ๋ยหมักหรือนำไปผสมกับปุ๋ยคอกและฟางข้าว แล้วน้ำฝุ่นผงเหล่านี้โปรยใส่กระบุง ตะกร้า
เครื่องมือที่ใช้ทำมาหากินต่างๆ
เพื่อเป็นสิริมงคล