ประวัติความเป็นมาของชาวภูไทกะป๋อง
กล่าวถึงเมื่อครั้งภูไทอยู่ที่เมืองน้ำน้อยอ้อยหนู (เมืองแถน
เมืองนาน้อยอ้อยหนู) ในสิบสองจุไทในดินแดนแม่น้ำแท้หลวง (ซงกอย)
หรือแม่น้ำแดงในปัจจุบัน
ได้กล่าวถึงขุนเพาญาว
เจ้าเมืองน้ำน้อยอ้อยหนูมีลูกชาย 3 คน คือ
เจ้าหุน , เจ้าหาญ
และเจ้าหานดง
ขุนเพาญาวได้ปกครองไพร่ฟ้าเจ้าแผ่นดินด้วยความสุขมาช่วงหนึ่งบ้านเมืองประสบภาวะฝนแล้ง ข้าวไร่
ข้าวนาเสียหาย
เก็บเกี่ยวผลไม่พออยู่พอกิน
ประกอบกับความแห้งแล้งมีติดต่อกันหลายปี
อีกทั้งเจ้าขุนต่างก็ขัดเคืองกัน
ขุนเพาญาวพร้อมครอบครัวบ่าวไพร่
จึงได้อพยพลงมาทางใต้ขบวนเดินเท้ารอนแรมผ่านภูผาป่าเขามาเป็นเวลาหลายเดือน เนื่องจากขบวนประกอบด้วยผู้คนจำนวนมาก จึงเดินทางช้าหากพบทำเลเหมาะๆ ก็หยุดพักตั้งค่ายพัก 4-5
วัน ครั้นพอหายเหนื่อยรวบรวมเสบียงได้บ้าง
ก็ออกเดินทางมุ่งห้าลงใต้ต่อไปเป็นอย่างนี้เรื่อยมา
ช่วงหนึ่งขุนเพาญาวได้สั่งให้ขบวนหยุดพัก ณ
ที่แห่งหนึ่ง
ด้วยเห็นว่าเป็นทำเลเหมาะ
วันหนึ่งขณะที่ต่างคนต่างก็ออกหาเสบียง
เจ้าหุนลูกชายขุนเพาญาวผู้ที่ยิงกวางบาดเจ็บได้พร้อมพรรคพวก แกะรอยเท้าไปอย่างกระชั้นชิด จนไปพบกวางตัวดังกล่าวได้ตายแล้ว
เป็นการบังเอิญกวางตัวที่ตามนั้นอยู่ตรงหน้าเจ้าหานผู้เป็นน้อง
ต่างฝ่ายต่างก็ทุ่มเถียงกันว่ากวางควรจะเป็นของตนเพราะตนเป็นคนยิงเจ็บมา เหตุการณ์ลามปามไป ด้วยต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมลดละ ร้อนถึงขุนเพาญาว ผู้เป็นพ่อต้องมาแก้ปัญหาช่วยตัดสิน
ขุนเพาญาวดูที่รูปการและซักถามทั้งสองฝ่ายแล้วตัดสินใจว่า กวางตัวดังกล่าวให้เป็นของน้องชาย เจ้าหุนเสียใจมาก เป็นว่าบิดาไม่อยู่ในสัตย์ธรรม ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายน้องไม่รักตน จึงได้ชักชวนบ่าวไพร่ผู้รักใคร่พร้อมครอบครัว
อพยพเรียกออกจากขบวนของบิดาไปหาถิ่นที่อยู่ใหม่
ปรากฎว่ามีผู้คนติดตามไปจำนวนมาก ขบวนอพยพรอนแรมไปในป่าหลายวัน ผู้คนได้รับความลำบากเป็นอันมาก ในอดีตภูไทเรานับถือผีฟ้า ซึ่งเป็นการถือตามอย่างฮ่ออยู่บ้าง
เจ้าหุนและบ่าวไพร่ได้คิดว่าขบวนอพยพภูไทนี้ ต่อไปข้างหน้าจะได้พบกับภัยอันตราย อุปสรรคต่างๆ
ตลอดจนจะต้องมีศึกสงครามเป็นแน่แท้ต่างจนใจด้วภูไทเราไม่มีเจ้าผู้ยึดเหนี่ยว
ผนึกขวัญหรือเป็นที่พึ่งทางใจช่วยคุ้มภัยเลย
ครั้นขบวนอพยพมาถึงธารน้ำแห่งหนึ่งเห็นเป็นที่เหมาะ จึงให้หยุดขบวนตั้งเป็นค่ายพัก เมื่อคิดว่าขบวนพร้อมอีกเมื่อใดจึงจะเริ่มอพยพกันอีกด้านหลังของค่ายพักนั้นเป็นภูเขาใหญ่ มีหน้าผาสูงชันแหงนดูจนคอตั้งบ่า
ครั้นค่ำลงเจ้าหาญจึงให้สร้างศาลเพียงตาขึ้นหลังค่ายพักเชิงผาสูง
ผู้คนบ่าวไพร่ต่างพร้อมใจกันอธิษฐานอันเชิญเทพยดา ฟ้าดินเจ้าภูเจ้าผา เจ้าป่าเจ้าเขา ให้มาสถิตอยู่
ณ
ศาลนั้นและคอยเป็นกำแพงคุ้มภัยขบวนของชาวภูไทตลอดไปให้อยู่เป็นขวัญและกำลังใจของคนภูไททุกที่ด้วย
ครั้นทำพิธีเสร็จได้พร้อมกันจัดหาดอกไม้ธูปเทียนบูชา จัดสำรับกับข้าวคาวหวานเลี้ยง เรียกชื่อเทพที่สถิตอยู่ศาลแห่งนั้นว่า “เจ้าปู่ฯ
หรือ เจ้าปู่มเหสักข์” ผู้คนในขบวนต่างก็ฉลองร่วมกันเป็นพิธีด้วย เกี่ยวกับความหมายของคำว่า “มเหศักดิ์”
หรือ “มเหสักข์” มีความหมายตามพจนานุกรม ปรากฎดังนี้
มเหศักดิ์ แปลว่า เจ้าผี
(ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าเมืองในถิ่นนั้น ที่เรียกว่า
บรรพบุรุษ)
มเหสักข์ แปลว่า
เทวดาผู้เป็นใหญ่
มเหศ แปลว่า
พระอิศวร
ขบวนอพยพได้รอนแรมเรื่อยมาค่ำลง ณ
ที่ใดก็ให้ตั้งค่ายพัก
เจอที่เหมาะสมก็พักันหลายวัน
ตั้งค่ายลงที่ใดก็ตั้งศาลเจ้าปู่ขึ้นไว้เคารพบูชามิได้ขาด มุ่งลงทางใต้เรื่อยมา พอถึงฤดูฝนการเดินทางลำบากก็หยุดพักขบวน ครั้นพอตกหน้าแล้งก็ออกเดินทางต่อไป
ตกบ่ายวันหนึ่งขบวนอพยพผ่านเข้าไปในป่าใหญ่อากาศร้อนอบอ้าวมาก บัดดลเกิดไฟป่าโดยมิได้คาดฝัน ไฟได้ลุกไหม้รายล้อมขบวนทุกด้านอย่างรวดเร็ว
เสียงไฟประทุอื้ออึ้งไปหมด
บรรดาสัตว์ป่าก็ต่างวิ่งหนีไฟโดยไม่คิดชีวิต บางตัววิ่งฝ่าเข้าไปในขบวนเหตุการณ์ชุลมุนคุมกันไม่อยู่ต่างคนต่างจวนตัวไม่รู้จะหนีไปทางทิศใด จะคิดดับไฟก็เกินความสามารถ เจ้าหุนเห้นจวนตัวนึกอะไรไม่ออก ไพร่พลก็รอคำสั่งอยู่ด้วย
จนปัญญาเจ้าหุนพลันนึกได้จึงร้องขอความช่วยเหลือต่อเจ้าปู่มเหสักข์ว่า “บัดนี้ลูกหลานกำลังได้รับความลำบากยิ่งถึงคราวจวนตัวไฟป่ามาถึงแล้ว
ขอบารมีท่าได้โปรดช่วยขจัดปัดเป่าช่วยคุ้มภัย ช่วยเป็นกำแพงใหญ่กั้นไฟป่า ณ
เวลาบ่ายอันสุดแสนจะเกรี้ยวกราดในครั้งนี้ให้แก่ลูกหลานด้วยเถิด”
ท่ามกลางเสียงระงมร้องคร่ำครวญ เสียงกู่ก้องหากัน ประสานกับเสียงประทุ กระพือไหม้ของไฟกลางเปลวไฟร้อนระอุนั้น
ปาฏิหาริย์เจ้าปู่ก็ปรากฎขึ้นไฟป่าได้อ่อตัวลงที่ไม่ดับก็เปลี่ยนทิศทางไปในทันที พลันท้องฟ้าแจ่มใสอากาศปลอดโปร่ง
ขบวนอพยพต่างก็ปลอดภัยทั่วกันเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คนทั้งปวงเห็นเป็นนิมิตมงคลอย่างยิ่ง แต่นั้นมาหากผู้ใดได้ทุกข์ตกระกำลำบากอะไร ก็ได้อาศัยบนบานขอพึ่งบารมีเจ้าปู่ช่วยเหลือและปัดเป่าคุ้มภัยให้ตนตลอดมาจนบัดนี้
เวลาล่วงผ่านไปเป็นหลายปี
ขบวนอพยพของชาวภูไทได้มาถึงที่เหมาะแห่งหนึ่ง อยู่ระหว่าง
“ฮ่อมภู” (ภูเขา) ในภูอ้ากใกล้แดนญวนและใกล้กันกับเมืองวังอ่างคำ พื้นที่เป็นทำลเหมาะแก่การทำข้าวไร่ ปลูกพริก
ปลูกฝ้าย
มีแม่น้ำไหลผ่านจะทำนาก็ทำได้
น้ำสายนี้ไหลผ่านลงไปยังเมืองวังอ่างคำซึ่งเป็นเมืองวังอ่างคำ ซึ่งเป็นเมืองพี่เมืองน้องภูไทเหมือนกัน เจ้าหุนจึงให้ตั้งเมืองให้ชื่อว่า “เมืองกะป๋อง”
ทั้งสองเมืองนี้ห่างหันระยะทางเดินเท้า
2 วัน (ประมาณ
4.5 กิโลเมตร) ก็ถึง
กงดินหรือดินแดนที่ตั้งเมืองกะป๋องนั้น พวกข่าได้มาอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาจึงได้เกิดรบพุ่งกันขึ้น ระหว่างพวกภูไท (เมืองวังอ่างคำ เมืองกะป๋อง)
กับพวกข่า ทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่นานหลายวัน
ไพร่พลทั้งสองฝ่ายต่างล้มตายจำนวนมากแต่ยังไม่มีใครชนะ หัวหน้าทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่า หากจะรบกันต่อไปอีกก็จะยิ่งเสียไพร่พลบ้านเมืองก็จะเกิดยุคเข็ญ จึงได้ตกลงเสี่ยงบุญกรรมกัน (เสี่ยงอำนาจวาสนา)
หากฝ่ายใดสามารถยิงหน้าผาหินเข้า (ลูกธนูปักติดหน้าผา)
ก็จะได้เป็นเจ้าเมืองและจะได้เป็นฝ่ายปกครอง ฝ่ายใดที่แพ้ก็จะต้องยอมเป็นข้อยข้า (ผู้รับใช้)
แก่อีกฝ่ายหนึ่ง
พวกข่าต่างก็มั่นใจว่าตนจะเป็นผู้ชนะด้วยถือว่าตนเป็นผู้ชำนาญในเรื่องหน้าไม้ รู้จักทำหน้าไม้มาก่อน ฝีมือการยิงหน้าไม้ก็เป็นเลิศกว่าชาวภูไท ทั้งยังได้เตรียมการจัดสร้างหน้าไม้ใหญ่ มีขายาวถึง
3 ศอก
เพื่อหวังจะให้ลูกหน้าไม้หรือลูกธนูมีกำลังมาก จะได้ปักเข้าไปในเนื้อหินผาได้ เมื่อถึงวันนัดเสี่ยงบุญกรรม
หัวหน้าพร้อมไพร่พลจำนวนมากก็ยังไปหน้าผาที่นัดหมาย ข่าเป็นฝ่ายยิงก่อนด้วยความมั่นใจ เหตุการณ์ไม่เป็นไปดั่งที่คิดไว้ ลูกธนูข่าวิ่งเข้ากระทบผาด้วยความแรง ลูกธนูแตกยับด้วยแรงปะทะแล้วหล่นลงสู่ดิน ส่วนภูไทเป็นฝ่ายยิงทีหลัง เครื่องมือในการยิงก็ใช้ธไม้ไผ่เล็กๆ เหลาจัดทำเพียงลวกๆ ปลายลูกธนูก็ไม่แหลมซ้ำยังเอาขี้สูด (ชันนางโรง)
ติดไว้ด้วย เวลายิงก็น้าวตึงธนูแต่เพียงพอสมควร
เมื่อปล่อยลูกธนูออกไปลูกธนูก็วิ่งไปกระทบหน้าผาเพียงเบาๆ แล้วปักติดอยู่
จนพวกข่าเห็นเป็นอัศจรรย์และยอมแพ้แก่บุญวาสนาชาวภูไท ฝ่ายภูไทจึงได้เป็นเจ้าเมือง ข่าบางส่วนที่ไม่พอใจได้หนีไป ชาวภูไทก็จัดส่งคนไปกาดแต่ไม่ทัน จังได้ตามไปทันกันที่เขาลูกหนึ่ง ข่าได้เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำตรงหน้าผา ภูไทพรอยข่าจำนวนมากหายเข้าไปในถ้ำจึงได้จัดหาพริกแห้งนำมาเผามาคั่วเพื่อรม (อูด)
ให้พวกข่าออกมา
พวกข่าทนไม่ได้จึงยอมแต่โดยดี
ผาและช่องทางหน้าผาที่กล่าวมา
ผู้เฒ่าต่างก็เรียกว่า
“ผาบุญ” “ผากาด” “ผาอูด”
ต่อมาจนกระทั่งบัดนี้
พวกข่าได้ให้นางข่าเป็นบรรณาการก่เจ้าหุนคนหนึ่ง แต่ด้วยความเคียดแค้นผูกใจเจ็บในเหตุการณ์รบราฆ่าฟันกันด้วยคนภูไทได้ล้มตายเป็นจำนวนมาก เจ้าหุนจึงฆ่าเสียให้แล่เนื้อสับจนละเอียด สถานที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า “เซมาฟัก”
หรือ “เซมะฟัก” มาจนบัดนี้
เมืองกะป๋องตั้งอยู่ทางทิศใต้ เมืองวังอ่างคำอยู่ทางเหนือในเขา เรียกว่า
สันภูอ้าก ทั้งสองเมืองมีน้ำ “เซงี้”
ไหลผ่าน
น้ำเซงี้นี้อุดมไปด้วยแร่ทองคำ
ผู้คนต่างก็มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น
คือ “บ้างคำ” (ร่อนแร่ทองคำ) ด้วยการตักกรวดทรายในลำน้ำเซงี้ขึ้นร่อน พอเห็นเม็ดทรายสีทองหรือผงทองแล้ว ก็เอาแข่วฝ้ายชุบเอาขึ้นมาใส่ภาชนะ (แข่วฝ้าย
ก็คือ
ปุยฝ้ายที่ชาวบ้านจัดเตรียมหลังจากดีดตีด้วยคันโต้งจนพองได้ที่แล้วก็จัดทำเป็นหลอดๆ ขนาดเท่านิ้วมือ เพื่อนำไปเข็นเป็นเส้นฝ้าย) วันหนึ่งจะได้บ้างคำคนละ 2-3 หุน ความจริงชื่อเดิมไม่ได้มีคำว่า “อ่างคำ”
เป็นภาษาภูไท “อ่าง” แปลว่า
หลุมหรือบ่อ “คำ” ก็คือทองคำ
“อ่างคำ” จึงแปลว่า บ่อทองหรือขุมทอง ทิศตะวันออกเมืองกะป๋อง เมืองวังข้ามส้นอ้ากไปจะพบหมู่บ้านหนองปิง เป็นหมู่บ้านภูไทอย่างเราและหากขึ้นเขาไปทางทิศตะวันออกอีกก็จะพบไม้ล้มแบ่งแดนแกว ซึ่งถือกันว่าเป็นเส้นเขตระหว่างไทยกับญวน
กล่าวกันว่าเป็นสันเขาสูงมีผาลานหินแผ่นกว้าง ประมาณ
20,30 ถึง 90,100 เมตร
เป็นแนวยาวติดต่อกันไปตลอดสันเขา
ต้นไม้จึงขึ้นบนหินไม่ได้คงมีแต่นอกแนวหินออกไป ซึ่งพื้นดินสันเขาได้ลาดเอียงลงไปยังเชิงเขา
ทุกด้านต้นไม้ที่เกิดขึ้นมาจึงหันเหชี้ออกไปคนละทางเพราะถูกธรรมชาติกำหนด
เจ้าหุนเจ้าเมืองกะป๋อง มีลูกชาย
2 คน ชื่อ
ท้าวคำผงและท้าวคำเขื่อน
ไพร่ฟ้าชาวเมืองอยู่เป็นสุขสืบมา
ครั้นเมื่อสิ้นสมัยเจ้าหุนแล้ว
ท้าวคำผงก็ได้เป็นเจ้าเมืองแทน
ได้ปกครองไพร่ฟ้าเจ้าแผ่นดินโดยธรรมสืบมาจนชั่วอายุไข ท้าวคำเขื่อน
ผู้น้องได้เป็นเจ้าเมืองสืบต่อ
ในช่วงเวลาตอนนั้นไทยได้ทำศึกแพร่ขยายอาณาเขต
รบได้ชัยชนะตลอดตั้งแต่แคว้นสิบสองปันนาเหนือเมืองแถงเรื่อยไปทางทิศตะวันตกจดพม่า ทางใต้ก็จดแหลมมลายูได้หลวงพระบาง เวียงจันทน์
การศึกติดพันไปถึงญวนซึ่งปรากฎว่าญวนได้มาตีเมืองรายทางและเมืองชายอาณาเขตไทยอยู่เสมอ เพื่อประสงค์จะได้เป็นเมืองเอื้ออำนวยฝ่ายญวนในการทำสงครามใหญ่ เป็นที่เก็บภาษี เสบียงอาหาร
และคลังกระสุนดินดำ ทางกรุงเทพฯจึงมีนโยบายให้อพยพคนที่อยู่ชายอาณาเขตติดต่อแดนญวนให้เข้ามาใกล้พระนคร
กองทัพไทยได้ออกกวาดต้อนผู้คนตามเมืองต่างๆ นำอพยพมาในพระราชอาณาเขตเป็นจำนวนมาก ชาวเมืองวังก็ได้อพยพมาในครั้งนี้ด้วย ส่วนชาวเมืองกะป๋องได้พากันหนีเข้าป่า
ครั้นกลับเข้ามาอยู่เมืองกะป๋องอีก กองทัพไทยจึงได้เกลี้ยกล่อมชวนให้อพยพข้ามมาตั้งบ้านเมืองอยู่ทางฝั่งนี้ได้โฆษณาเชิญชวนว่าฝั่งนี้อุดมสมบูรณ์ ข้าวมากปลามัน
เข้าป่าไปหาฟืนเวลาชักดึงดุ้นฟืนก็ดึงหางเต่าหางแลนล้วนอุดมสมบูรณ์ ท้าวคำเขื่อน
เจ้าเมืองเห็นว่า
ภูไทกะป๋องควรจะได้อพยพด้วย
ประกอบกับได้ทราบจากพี่น้องซึ่งอพยพมาอยู่แล้วได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมทางฝั่งซ้ายว่า ภูไทที่ไปอยู่ก่อน
ทางบ้านเมืองท่านให้เลือกที่อยู่ที่ตั้งเมืองตามความพอใจ จึงได้เตรียมการอพยพไว้
ยังไม่ทันจะได้อพยพท่านก็ได้ถึงแก่กรรมเสียก่อน ณ
เมืองกะป๋อง ท้าวราชนิกูลผู้เป็นลูกจึงได้พาครอบครัวบ่าวไพร่
อพยพเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าทางตะวันตกสู่กรุงสยามข้ามน้ำโขงขึ้นฝั่งไทยตรงพระธาตุพนม ที่จังหวัดนครพนม ขบวนในครั้งนั้นประกอบด้วย ภูไทถึง 400 ครัวเรือนและตรงกับปี พ.ศ. 2387 ท้าวราชนิกูลและชาวเมืองภูไทกะป๋อง (เมิงกะป๋อง)
ได้อัญเชิญเจ้าปู่มเหสักข์เทพคู่เมืองมาด้วย ขบวนมุ่งหน้าเรื่อยมาจนถึงจังหวัดสกลนคร ครั้งนั้นพระยาประเทศธานี (คำ)
เป็นเจ้าเมืองสกลนคร ชาวภูไทได้หยุดขบวนพักอยู่ที่หนองสองห้องบ้าง
ตรงจวนข้าหลวงเก่าบ้างและตรงวัดสะพานคำบ้าง
หนองสองห้องที่กล่าวถึงในที่นี้ในปัจจุบันคือ สถานีประมงหนองหาร ส่วนจวนเก่าอยู่ทางตะวันตกสนามมิ่งเมือง
ท้าวราชนิกูลเห็นว่าชาวภูไทยอัตคัดที่ทำกิน ทำให้กระอักกระอ่วนใจ เนื่องจากภูไทตกอยู่ในสถานะ
ผู้อาศัยจะคิดขยับขยายก็ติดที่ของชาวเมือง
โอกาสที่จะขยับขยายตั้งเป็นเมืองคงจะทำได้ยาก อีกประการหนึ่งชาวภูไทคงจะได้รับการบีบคั้นทางใจไม่น้อย จึงได้นัดหมายรวมขบวนอพยพต่อไปอีก ณ
วัดสะพานคำ เมื่อขบวนพร้อมจึงเลื่อนขบวนมุ่งหน้าสู่ตะวันตก โดยมุ่งจะไปอยู่กับเมืองหนองหาน
ความได้ทราบถึงเจ้าเมืองสกลนครและได้สั่งให้พรรคพวกไพร่พลทหารออกห้ามปรามไม่ให้อพยพ ฝ่ายตามได้มาทันขบวนที่สะพานหินและหนองสนม
ท้าวราชนิกุลเห็นดังนั้นจึงร้องสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมตนเองก็ได้ขับขี่ม้าสีลาน (สีตะกั่ว)
เข้าขวางฝ่ายตาม
ถอดดาบออกเงื้อง่าประกาศก้องว่า
หากขัดขวางขบวนอพยพก็จะได้เห็นกัน
ภูไททั้งหมดจะประจัญบานฝ่าออกไปให้ได้
ฝ่ายติดตามเห็นว่าเรื่องจะไปกันใหญ่ถึงขั้นฆ่าฟันกันจึงมิได้ขัดขวางแต่ได้ตามสังเกตการณ์ขบวนอยู่ห่างๆ
ขบวนได้มุ่งหน้าสู่ตะวันตกผ่านบ้านพังขว้าง บ้านพาน
ผ่านเลยถึงเมืองพรรณนานิคม
ครั้นผ่านพรรณนานิคมเข้าเขตเมืองหนองหานแล้ว อุปนิสัยเดิมซึ่งเคยอยู่ภูเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ได้เป็นแรงจูงใจให้ชาวภูไทเหขบวนเลี้ยวซ้ายมุ่งสู่ภูพาน เมื่อที่เหมาะแห่งหนึ่งมีลำน้ำไหลผ่าน จึงให้หยุดขบวนและตั้งบ้านให้ชื่อว่า “บ้านพุ่ม” ที่ตั้งบ้านพุ่มไม้ปัจจุบันยังมีคนเรียกติดปากกันอยู่ว่า บ้านพุ่มหนองปิง ห้วยบ้านพุ่ม อยู่ในท้องที่อำเภอนิคมน้ำอูน
ต่อมาผู้คนมากขึ้นข้าวไร่ไม่พออยู่พอกินต้องอดมื้อกินมื้อ
ท้าวราชนิกูลและชาวภูไทบ้านพุ่มจึงได้ตระเวนออกหาทำเลที่เหมาะแก่การทำนา
ซึ่งหากพบแล้วจะได้ตั้งเป็นบ้านภูไทแห่งใหม่ด้วย
ได้เดินทางไปถึงบ้านชาวลาวที่บ้านโต้น บ้านม่วง ได้ปรึกษาซักถามถึงทำเลที่เหมาะกับการตั้งบ้านน้ำท่าอุดมสมบูรณ์กับผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งสองบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ได้แนะนำว่าให้เดินทางไปทิศตะวันออกได้พบที่ลุ่มเป็นเลิง
(ที่ราบลุ่ม) บ่อนน้ำไหลเซาะบ่อนเคราะห์ไหลหนี ชาวภูไทจึงได้เดินทางผ่านป่าดงไปทางตะวันออก ได้พบที่ลุ่มเหมาะแก่การทำนา ตรงกลางมีหนองน้ำอุดมไปด้วยปลา ทางทิศเหนือห้วยปลาหาง จึงเห็นพร้อมให้ตั้งเป็นบ้านเรือนขึ้น ณ ที่นั้นให้ชื่อว่า
บ้านหนองหอย ภูไทกระป๋องเราได้ตั้งหลักฐานบ้านเมืองลงที่บ้านหนองหอยนี้เมื่อประมาณ พ.ศ. 2390
ส่วนบ้านพุ่มนั้นเมื่อผู้คนย้ายออกไปแล้วก็กลายเป็นบ้านร้าง ผู้เฒ่าผู้แก่เรียกว่า “บ้านฮ้างก๊กซิด๋า”
เพราะมีสภาพเป็นบ้านร้างเต็มไปด้วยต้นฝรั่ง
ส่วนบ้านโต้นและบ้านม่วง ต่อมาผู้คนได้ย้ายออกไปอยู่ถิ่นอื่น
บ้านจึงร่วงโรยร้างไปเล่ากันว่าผู้คนได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านจำปา
ท้าวราชนิกูลและชาวภูไทกระป๋อง ตั้งบ้านหนองหอยได้ 9 ปี พระยาประเทศธานี (คำ) เจ้าเมืองสกลนคร ได้มาเกลี้ยกล่อมให้ท้าวราชนิกูลไปขึ้นกับเมืองสกลนคร
และสัญญาว่าหากท้าวราชนิกูลยินยอมไปขึ้นกับเมืองสกลนครแล้ว
เจ้าเมืองสกลนครก็จะเป็นธุระตั้งบ้านหนองหอยเป็นเมืองให้ในภายหลัง
ท้าวราชนิกูลไม่รู้เท่าทันเล่ห์กลของพระยาประเทศธานี
จึงได้พาครอบครัวบ่าวไพร่ส่วนหนึ่งไปอยู่ที่เมืองสกลนคร
(ปี 2390 โดยประมาณ) ส่วนทางบ้านหนองหอยนั้น พระยาประเทศธานีได้แต่งตั้งให้ท้าวประทุม มาจากเมืองจำปาชนบท ซึ่งเป็นคนภูไทในตระกูลท้าวราชนิกูลเป็นผู้ดูแลแทนไปก่อน
บ้านหนองหอยก็ได้ขึ้นกับเมืองสกลนคร ท้าวราชนิกุลได้อยู่ที่เมืองสกลนครเป็นเวลา 17 ปี (พ.ศ. 2416) จนท้าวประทุมผู้เป็นนายกองแห่งบ้านหนองหอยได้ถึงแก่กรรม
(ที่มาแห่งนามสกุล วงศ์ประทุม)
ล่วงมาอีก 3 ปี (ปีพ.ศ. 2419) ท้าวราชนิกุลเห็นว่าพระยาประเทศธานีชักจะไม่ชอบมาพากลด้วยเวลาได้ล่วงเลยมาตั้งหลายปีแล้วเรื่องขอตั้งเมืองยังไม่เริ่มต้นเลยดูใจกันมานานแล้ว
จึงทวงสัญญากับพระยาประเทศธานี ด้วยอดรนทนไม่ได้ อีกประการหนึ่งท่านก็อายุมากแล้วเกรงจะเสียการ ได้ร้องขอให้ดำเนินการขอตั้งบ้านหนองหอยขึ้นเป็นเมืองไปยังกรุงเทพฯ
ตามที่ได้สัญญาไว้แก่กันเมื่อก่อน พระยาประเทศธานีขัดเคืองและไม่ดำเนินการให้ตามประสงค์ เมื่อเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามประสงค์ ท้าวราชนิกูลจึงให้ท้าวสุพรม บุตรชายของท่านลงไปร้องเรียนต่อพระยาภูธรอภัย เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่กรุงเทพฯ พระยาประเทศธานีทราบเรื่องดังกล่าวจึงโกรธมากหาว่ากระด้างกระเดื่องได้สั่งให้จองจำท้าวราชนิกูล
พร้อมครอบครัวไว้ทั้งหมด หลักฐานบันทึกต่างๆ ก็ได้ถูกยึดไว้สิ้น
ท้าวสุพรมได้เดินทางไปร้องเรียนต่อพระยาภูธรอภัยที่กรุงเทพฯ ว่าท้าวราชนิกูล
เคยเป็นเจ้าเมืองเมื่อครั้งยังอยู่ฝั่งซ้ายมาแล้ว บัดนี้ได้อพยพมาตั้งอยู่ที่บ้านหนองหอย แขวงเมืองสกลนคร ประสงค์จะขอตั้งบ้านหนองหอยเป็นเมืองตามตระกูลท่านเสนาบดีจึงได้สืบประวัติ ท้าวราชนิกุลจากเมืองต่างๆ ปรากฏหลักฐานเป็นที่แน่ชัดว่าท้าวราชนิกูลและตระกูลของท่านเคยเป็นเจ้าเมืองมาก่อนตั้งแต่ครั้งเมื่อยังอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเมื่อเหตุผลและหลักฐานเพียงพอเช่นนี้ ท่านเสนาบดีจึงให้ท้าวสุพรมนำท้องตราพระราชสีห์
(หนังสือราชการสั่งการ) จากกรุงเทพฯ ขึ้นมาสั่งการให้พระยาประเทศธานี (คำ) จัดดำเนินการขอตั้งเมืองให้แก่ท้าวราชนิกูลเสีย พระยาประเทศธานีไม่ดำเนินการอย่างใด และไม่ออกหนังสือรับรองให้ด้วยเพียงแต่ได้ปลดปล่อยท้าวราชินิกูลพร้อมครอบครัว
บ่าวไพร่ ให้พ้นจากการจองจำเท่านั้น
ในปี พ.ศ. 2419 ปีชวด อัฐศก ท้าวราชนิกูลพร้อมครอบครัว พร้อมบ่าวไพร่ก็อพยพออกจากเมืองสกลนครมาอยู่ที่บ้านหนองหอยตามเดิม (จุลศักราช 1218) ครั้นเห็นว่าเหตุการณ์ปกติสุขดี ท้าวสุพรมจึงได้เดินทางไปร้องเรียนต่อพระพิทักษ์เขตขันธ์เจ้าเมืองหนองหาน ซึ่งเป็นเมืองทางทิศตะวันตกและได้ขอขึ้นกับเมืองหนองหานด้วย ได้ขอร้องให้พระพิทักษ์เขตขันธ์รับรองเพื่อขอยกฐานะบ้านหนองหอยขึ้นเป็นเมือง
พอดีกับในช่วงนั้นพระยามหาอำมาตย์ (ชื่น) เป็นแม่ทัพยกไปปราบฮ่อที่เมืองเวียงจันทน์ โดยไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองหนองคาย พระพิทักษ์เขตขันธ์และท้าวสุพรมไปร้องเรียนต่อพระยามหาอำมาตย์
(ชื่น)
หลังจากที่ท่านได้ซักถามเรื่องราวความเป็นมาของท้าวสุพรมแล้ว ท่านจึงรับจะดำเนินการตั้งเมืองให้ แต่ในขณะนั้นกำลังติดพันอยู่กับการปราบฮ่อ จึงยังดำเนินการไม่ได้ หากเสร็จการปราบฮ่อเมื่อใดแล้วให้พระพิทักษ์เขตขันธ์และท้าวสุพรมลงไปติดต่อที่กรุงเทพฯ
อีกครั้ง
ท้าวสุพรหมได้จัดเลขไพร่ จำนวน 24 คน เข้ามาสมทบพระพิทักษ์เขตขันธ์ร่วมกับกองทัพใหญ่เดินทางไปปราบฮ่อถึงเวียงจันทน์และทุ่งเชียงคำจนราบคาบ
พอเสร็จศึกทราบข่าวว่าท้าวราชนิกูล ผู้เป็นบิดาป่วยหนักจึงได้กลับบ้านหนองหอย พอดีบิดาได้ถึงแก่กรรม ครั้นเมื่อจัดงานศพบิดาแล้วจึงได้กลับไปทัพอีก
พระยามหาอำมาตย์ทราบเรื่องดังกล่าวทำให้ท่านรักและเห็นใจท้าวสุพรมมากด้วยท้าวสุพรมเป็นคนซื่อสัตย์รับราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะ
กล้าหาญ จึงได้ตั้งให้เป็น “พระพรหมสุวรรณภักดี” ปฏิบัติราชการเป็นนายกองสืบตำแหน่งแทนบิดา
พ.ศ. 2420 พระพรหมสุวรรณภักดีกับพระพิทักษ์เขตขันธ์เจ้าเมืองหนองหาน
ได้ลงกรุงเทพฯ เนื่องจากได้แรงสนับสนุนและความช่วยเหลือจากพระยามหาอำมาตย์
(ชื่น) การดำเนินการเรื่องสะดวกขึ้นมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
5 ได้ทรงทราบเรื่องมาก่อนแล้ว เมื่อพระพรหมสุวรรณภักดีและพระพิทักษ์เขตขันธ์ไปถึงเมืองจึงโปรดให้เข้าเฝ้าฯ ได้ทรงชื่นชมยินดีมากและโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศและบรรดาศักดิ์ให้พระพรหมสุวรรณภักดีเป็นรองมหาอำมาตย์เอกสุรินทรบริรักษ์
โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านป่าเป้าขึ้นเป็นเมืองวาริชภูมิและยุบเป็นอำเภอ เมื่อ พ.ศ.
2440 รองอำมาตย์เอกพระสุรินทรบริรักษ์
ได้รับพระราชทานเครื่องยศตามบรรดาศักดิ์ ดังนี้ ถาดหมาก คนโททำด้วยเครื่องเงิน
1
สำรับ (ชุด) เสื้อเยียรบับลายดิ้นทอง (เสื้อยศ) สัปทนทำด้วยแพรหลินแดง 1 อัน หอกดาบและง้าวซึ่งทำด้วยเหล็กอย่างดีอีกจำนวนหนึ่ง
พระสุรินทรบริรักษ์ เกิดที่เมืองกะป๋อง เมื่อ พ.ศ. 2385 ก่อนภูไทจะอพยพ 2 ปี ถึงแก่กรรมที่เมืองวาริชภูมิ เมื่อพ.ศ. 2455 เก็บบรรจุศพรักษาไว้ 2 ปี ได้รับพระราชทานเพลิงศพ ในปีพ.ศ. 2457 และจะขอยกผลงานท่านกล่าวแต่บางส่วนที่เห็นเด่นชัดดังนี้
คือ
1. นำไพร่พล 24 คนร่วมกับกองทัพพระพิทักษ์เขตขันธ์
ไปปรามฮ่อถึงทุ่งเชียงคำและเวียงจันทร์
2.
คุมกองเกวียนเสบียง 33 เล่ม กับไพร่พลภูไท
30 คน ไปช่วยกองทัพไทยทำสงครามกับฝรั่งเศสโดยยกไปทางเมืองนครพนม
3.
สร้างอุโบสถวัดสระแก้ววารีราม วัดเก่าซึ่งเป็นที่ตั้งศาลเจ้าปู่มเหสักข์ปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
5 ได้ทรงพระราชทานนามสกุลแก่รองมหาอำมาตย์เอกพระสุรินทรบริรักษ์
กับขุนศักดา โดยอาศัยนามของบรรพบุรุษครั้งเมื่ออยู่เมืองกะป๋อง
คือ เอาชื่อท้าวคำผง ผู้เป็นลุงของท้าวราชนิกุล
เปลี่ยนใช้ศัพท์ใหม่ให้สละสลวยว่า “เหมะธุลิน”
เหมะธุลิน มาจากคำว่า คำ
คือ ทอง , ทองคำ
เป็น เหมะ , เหม
ผง คือ
สิ่งที่ละเอียด , ธุลี
ดิน ธุลิน
นำมาต่อกันเข้าจึงเป็น
เหมะธุลิน ซึ่งแปลกันด้วยความหมายง่ายง่ายว่า "ผงทอง"
แผ่นทองตราตั้งนามสกุล เหมะธุลิน
นี้คุณลุงวีรพันธ์ ศรีนุกูล เล่าว่า ท่านเองก็เคยเห็นเป็นแผ่นทอง ขนาดประมาณ 12 × 12 เซนติเมตร มีสีทองแวววาว
แต่ปัจจุบันนี้หาไม่พบแล้ว ส่วนหมื่นหน้าได้นามสกุลว่า
“แก้วคำแสน” ที่มาของคำว่า แก้วคำแสนนี้
ไม่มีผู้ใดทราบด้วยเวลาล่วงเลยมานาน เรื่องจึงหดหายไป เข้าใจว่าคณะเดินทางไปครั้งนั้น คงได้รับสกุลกันทั่วหน้า
แต่ไม่มีหลักฐานหรือคำกล่าวเล่าต่อพออ้างอิงได้