ขนบธรรมเนียมของชาวภูไทกะป๋อง
ฮีตสิบสองมาจากคำ 2 คำ
คือ ฮีต กับ
สิบสอง ฮีตมาจากคำว่า จารีต
หมายถึง สิ่งที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณีที่ดีงาม ชาวอีสาน
เรียกว่า จาฮีต หรือ
ฮีต สิบสอง หมายถึง
เดือนทั้ง 12 เดือนในหนึ่งปี ฮีตสิบสอง
จึงหมายถึง
ประเพณีที่ประชาชนชาวอีสานสืบต่อกันมาในโอกาสต่างๆ ทั้งสิบสองเดือนในแต่ละปี
ประเพณีทั้งสิบสองเดือนที่ชาวอีสานถือปฏิบัติกันมาล้วนเป็นประเพณีที่ส่งเสริมคนในขุมชนได้ออกมาร่วมกิจกรรมพบปะสังสรรค์กัน
เพื่อความสนุกสนานรื่นเริงและเพื่อความสามัคคี มีความรักใคร่กันของคนในท้องถิ่น
ซึ่งเป็นการสืบทอดสิ่งที่ดีงามมาจวบจนปัจจุบัน
ประเพณีอีสานส่วนใหญ่จะมีเอกลักษณ์แตกต่างจากประเพณีภาคอื่นๆ (อาจจะคล้ายกับประเพณีของภาคเหนือบ้างเพราะมีที่มาค่อนข้างใกล้ชิดกัน)
ประเพณีอีสานได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมล้านช้าง (แถบหลวงพระบาง ประเทศลาว)
จึงจะเห็นได้ว่า
ประเพณีของชาวอีสานและชาวลาวมีความสำคัญคล้ายกันเพราะมีที่มาเดียวกัน และชาวอีสานกับชาวลาวก็ไปมาหาสู่กันเป็นประจำเยี่ยงญาติพี่น้องทำให้มีการถ่ายเทวัฒนธรรมระหว่างกันด้วย
ฮีตสิบสอง ได้แก่
เดือนอ้าย (เดือนเจียง)
: บุญข้าวกรรม
เดือนยี่ : บุญคูณลาน
เดือนสาม : บุญข้าวจี่
เดือนสี่ : บุญผะเหวด
เดือนห้า : บุญสงกรานต์
เดือนหก : บุญบั้งไฟ
เดือนเจ็ด : บุญซำฮะ
เดือนแปด : บุญเข้าพรรษา
เดือนเก้า : บุญข้าวประดับดิน
เดือนสิบ : บุญข้าวสาก
เดือนสิบเอ็ด : บุญออกพรรษา
เดือนสิบสอง : บุญกฐิน
1. เดือนอ้าย
(เดือนเจียง) : บุญเข้ากรรม
บุญเข้ากรรมเป็นกิจกรรมของสงฆ์ เมื่อถึงเดือนอ้ายพระสงฆ์ต้องเข้ากรรม ซึ่งเป็นพิธีที่เรียกว่า “เข้าปริวาสกรรม” โดยให้พระภิกษุผู้ต้องอาบัติ(กระทำผิด) ได้สารภาพต่อหน้าคณะสงฆ์
เพื่อเป็นการฝึกจิตสำนึกถึงความบกพร่องของตนเอง และมุ่งประพฤติตนให้ถูกต้องตามพระวินัย พิธีเข้าปริวาสกรรมจะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้ โดยกำหนดไว้
9 ราตรี
พระภิกษุที่ต้องการเข้าปริวาสกรรมต้องไปพักอยู่ในสถานที่สงบ ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน อาจจะเป็นบริเวณวัดก็ได้ โดยมีกุฏิชั่วคราวเป็นหลังๆ พระภิกษุที่เข้าปริวาสกรรมคราวหนึ่งๆ จะมีจำนวนเท่าใดก็ได้แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าตนเองจะเข้าปริวาสกรรม และเมื่อถึงเวลาออกกรรมจะมีพระสงฆ์ 20
รูป มารับออกกรรม
พิธีทำบุญเข้ากรรมหรือเข้าปริวาสกรรมของพระภิกษุสงฆ์นี้ไม่ถือว่าเป็นการล้างบาป
แต่จะถือว่าเป็นการปวารณาตนว่าจะไม่กระทำผิดอีก ส่วนกิจของชาวพุทธศาสนิกชน ในบุญเข้ากรรมนี้ คือ
การหาข้าวของเครื่องอุปโภคบริโภคมาถวายพระ
ซึ่งถือว่าจะได้บุญมากกว่าการทำบุญตักบาตรทั่วไป
2. เดือนยี่
: บุญคูณลาน
การทำบุญคูณลานจะทำกันเมื่อได้เก็บเกี่ยวข้าวแล้ว
ชาวอีสานจะเห็นความสำคัญของข้าวเป็นอย่างมากในพิธีนี้จะมีการนิมนต์พระสงฆ์ไปเทศน์ที่ลานนวดข้าว
(ลานนวดข้าวของชาวอีสานสมัยก่อนมักจะทำขึ้นในลานข้างบ้านหรือข้างทุ่งนาและมักจะนำมูลของควายมาลาดที่พื้นแล้วตากให้แห้งจะได้พื้นที่เรียบ) มีการทำบุญตักบาตรเลี้ยงพระประพรมน้ำพระพุทธมนต์แก่ชาวบ้าน ลานนวดข้าว
ที่นา ต้นข้าว และบริเวณใกล้ลานนวดข้าว ถือว่าเป็นสิริมงคลแก่การเกษตรกรรม ทำให้ข้าวในนาอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเชื่อว่า
เจ้าของจะอยู่เย็นเป็นสุข ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าจะงอกงามและได้ผลดีในปีต่อไป
เมื่อเสร็จพิธีทำบุญคูณลานแล้วชาวบ้านจึงจะขนข้าวใส่ยุ้ง และเชิญขวัญข้าวคือพระแม่โพสพไปยังยุ้งข้าวและทำพิธีสู่ขวัญข้าวสู่ขวัญเล้าข้าว (ฉางข้าว)
เพื่อเป็นสิริมงคลต่อไป
ประเพณีปัจจุบันแทบจะหาดูไม่ได้แล้ว
เพราะชาวอีสานได้ทำนากันน้อยลง
และนำเอาเทคโนดลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้
เช่น การใช้เครื่องนวดข้าวแทนการนวดด้วยมือหรือใช้สัตว์นวด (ทำให้ไม่ต้งมีลานนวดข้าว)
3. เดือนสาม
: บุญข้าวจี่
บุญข้าวจี่เป็นการทำบุญในช่วงเทศกาลวันมาฆบูชา ชาวบ้านจะมาร่วมกันทำบุญตักบาตรในตอนเช้า ตอนค่ำจะมีการเวียนเทียนรอบอุโบสถ ซึ่งการทำบุญข้าวจี่นี้ชาวบ้านอาจจะไปรวมกันที่วัดหรือต่างคนต่างเตรียมข้าวจี่ไปเองแล้วนำไปถวายพระภิกษุสงฆ์ที่วัด มีการไหว้พระ
รับศีล
พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์และตักบาตรด้วยข้าวจี่ แล้วยกไปถวายพร้อมภัตตาหารอื่นๆ
เมื่อพระฉันเสร็จแล้วมีการฟังเทศน์ฉลองข้าวจี่และรับพร ซึ่งมูลเหตุที่มีการทำบุญข้าวจี่ เนื่องมาจากสมัยพุทธกาล มีนางทาสชื่อ
“ปุณณทาสี” ได้นำแป้งข้าวจี่ (แป้งทำขนมจีน) ไปถวายพระพุทธเจ้า
แต่ใจของนางคิดว่าขนมแป้งข้าวจี่เป็นเพียงขนมของทาสที่ต่ำต้อย พระพุทธองค์คงไม่ฉัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงหยั่งรู้จิตใจของนาง จึงทรงฉันแป้งข้าวจี่ต่อหน้านาง ทำให้นางเกิดปิติดีใจ ชาวอีสานจึงได้แบบอย่างในการทำแป้งข้าวจี่นี้และการทำบุญข้าวจี่ถวายพระมาโดยตลอดโดยเฉพาะเดือนสามจะมีการทำบุญข้าวจี่มาถวายพระมาจวบจนปัจจุบัน
(การทำข้าวจี่ของชาวอีสานในช่วงเดือนสามนั้นเป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็น ดังนั้นการจี่ข้าวในช่วงนี้ชาวบ้านก็จะได้รับไออุ่นจากการนั้งล้อมวงกันจี่ข้าวอีกด้วย) การทำข้าวจี่ของชาวอีสานนั้น
ปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้ข้าวเหนี่ยวที่นึ่งสุกแล้วมาปั้นเป็นก้อน แล้วนำไปย่างบนไฟอ่อนๆ บางคนอาจใช้ไข่เหลืองทาเพื่อให้มีสีที่น่ารับประทานหรือใส่น้ำอ้อยที่ข้าวจี่ (“จี่”
ภาษาอีสาน หมายถึง ปิ้งหรือย่าง)
4. บุญเดือนสี่
: บุญผะเหวด
(บุญพระเวสสันดรหรือบุญมหาชาติ) คำว่าผะเหวด
เป็นสำเนียงของชาวอีสาน
ที่แผลงมาจาก คำว่า “พระเวส”
ซึ่งหมายถึง พระเวสสันดร การทำบุญผะเหวด เป็นการทำบุญและฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดรชาดกหรือเทศน์มหาชาติ ซึ่งมีจำนวน
13 กัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระเสสันดรผู้ซึ่งบำเพ็ญเพียรอันยิ่งใหญ่ด้วยวิธีบริจาคทานหรือทานบารมีในชาติสุดท้าย
หรือมหาชาติของพระพุทธองค์ก่อนที่จะมาเสวยชาติตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า งานบุญผะเหวดเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ของชาวอีสานนิยมทำกันทุกหมู่บ้าน ด้วยความเชื่อว่าหากได้ฟังเทศน์มหาชาติครบทั้ง 13
กัณฑ์จบภายในวันเดียวนั้น
อานิสงฆ์จะดลบันดาลให้ไปเกิดในศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย์ ซึ่งเป็นดินแดนแห่งคความสุขตามพุทธคติ
ปัจจุบันงานบุญผะเหวดยังหาดูได้ทั่วไปเกือบทุกจังหวัดในภาคอีสาน แต่ได้ลดความใหญ่โตของงานลงบ้าง ไม่ใช่เป็นงานที่ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีต
แต่ก็ยังมีบางจังหวัดที่ได้จัดงานนี้อย่างยิ่งใหญ่ เช่น
ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็นงานประเพณีของจังหวัด ภายในงานจะขบวนแห่พระเวสสันดรหลายขบวน และมีการทำขนมจีน (ชาวอีสานเรียกว่าข้าวปุ้น) มากมายมาเลี้ยงแขกบ้านแขกเมือง
5. เดือนห้า
: บุญสงกรานต์
เป็นการทำบุญวันขึ้นปีใหม่ของไทยแต่โบราณ นิยมทำในเดือนห้า เริ่มตั้งแต่วันที่ 13
เมษายน ถึง วันที่
15 เมษายน คำว่า
”สงกรานต์” เป็นคำสันสกฤต แปลว่า
ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไป
ในที่นี้หมายถึงพระอาทิตย์ที่ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไปในจักรราศีหนึ่งเป็นเดือนที่เริ่มต้นปีใหม่ การทำบุญสงกรานต์จะมีพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์
ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่
รวมทั้งจะมีการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญพระพุทธรูปและพระสงฆ์ ตามละแวกหมู่บ้านต่างๆ นอกจากนี้ชาวบ้านจะทำบุญตักบาตร ก่อพระเจดีย์ทราย และมีการละเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนานตลอดทั้ง 3
วัน
และบางหมู่บ้านจะมีการแห่พระพุทธรูปไปรอบๆ
หมู่บ้านเพื่อให้ชาวบ้านได้สรงน้ำกันอย่างทั่วถึง
ปัจจุบันงานบุญสงกรานต์ของชาวอีสานได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากในตัวเมืองใหญ่ๆ มักมีการเล่นน้ำกันอย่างรุนแรง มีการใช้แป้ง
น้ำแข็งหรือสีด้วยแต่ประชาชนอีสานในชนบทโดยเฉาพะคนเฒ่าคนแก่ยังคงรักษาขนบธรรเนียมแบบดั้งเดิมไว้ คือ
มีการสรงน้ำพระพุทธรูปทั้งที่วัดและพระพุทธรูปที่บ้าน
จากนั้นจะไปสรงน้ำขอพรจากคนเฒ่าคนแก่ที่ตัวเองให้ความเคารพ พ่อแม่
ญาติผู้ใหญ่ ฯลฯ ในช่วงเวลานี้ชาวบ้านอีสานทั่วไปทำงานต่างถิ่นจะกลับบ้านเพื่อร่วมทำบุญและพบปะกับญาติพี่น้อง
6. เดือนหก
: บุญบั้งไฟ
หากกล่าวถึงบุญบั้งไฟแล้วคนส่วนใหญ่คงจะนึกถึงจังหวัดยโสธรหรืออุดรธานี ซึ่งมีการจัดงานนี้อย่างยิ่งใหญ่
การทำบุญบั้งไฟเป็นงานสำคัญอีกงานหนึ่งของชาวอีสานโดยจัดกันก่อนฤดูทำนา
ด้วยความเชื่อว่าเป็นการขอฝนเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าในนาอุดมสมบูรณ์ ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข ในงานจะมีการแห่บั้งไฟและจุดบั้งไฟ
เพราะเชื่อว่าเป็นการส่งสัญญาณขึ้นไปบอกพญาแถนให้ส่งฝนลงมา ระหว่างที่มีการจุดบั้งไฟชาวบ้านจะมีการเซิ้ง ซึ่งจะสนุกสนานมากและการทำบุญบั้งไฟนี้นับเป็นการชุมนุมครั้งสำคัญของคนในท้องถิ่น
ที่มาร่วมจัดงานด้วยความรื่นเริงสนุกสนานเต็มที่
มีการพูดจาลามกหรือสัญลักษณ์เรื่องเพศมาล้อเลียนในขบวนบั้งไฟโดยไปถือว่าเป็นเรื่องหยาบคาย และมีการประลองบั้งไฟกันว่า บั้งไฟใครจะขึ้นสูงกว่ากัน
ส่วนบั้งไฟใครจุดแล้วไม่ขึ้นจะมีการทำโทษด้วยการจับเจ้าของบั้งไฟ โยนลงในบ่อโคลน
งานบุญบั้งไฟจะตรงกับประเพณีในเทศกาลเดือนหกอีกอย่างหนึ่ง คือ
วันวิสาขบูชา
ชาวบ้านจะทำบุญและฟังเทศน์กันในตอนกลางวัน
กลางคืนจะมีการเวียนเทียน
ซึ่งทำเช่นเดียวกันกับประชาชนภาคอื่นๆ
ปัจจุบันงานบุญบั้งไฟยังหาดูได้ทั่วไปในจังหวัดภาคอีสาน ซึ่งมีการจัดงานตั้งแต่เล็กๆ จนถึงระดับจังหวัด
จังหวัดที่จัดงานใหญ่โตจนเป็นที่รู้จักทั่วไป คือ
จังหวัยโสธรและจังหวัดอุดรธานี
7. เดือนเจ็ด
: บุญเดือนซำฮะ
ซำฮะ เป็นภาษาอีสาน หมายถึง
การทำความสะอาด
เหมือนกับคำภาษาไทยกลางว่า
ชำระ
เป็นประเพณีนี้เป็นการทำบุญเพื่อชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีเป็นเสนียดจัญไร อันจะทำให้เกิดความเดือนร้อนแก่บ้านเมือง
ซึ่งถือว่าเป็นการปัดเป่าความชั่วร้ายให้ออกไปจากหมู่บ้าน การทำบุญซำฮะนี้ชาวบ้านจะพากันเก็บกวาดบ้านเรือนให้เรียบร้อย เป็นการทำความสะอาดครั้งยิ่งใหญ่ในรอบปี สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายให้ขจัดออกไป เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในหมู่บ้าน
มูลเหตุที่มีการทำบุญซำฮะเนื่องมาจากในสมัยพุทธกาลมีโรคห่า
(อหิวาตกโรคระบาดมีคนล้มตายกันเป็นอย่างมาก พระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จมาโปรดทำให้เกิดฝนห่าใหญ่มาชำระบ้านเมือง)
มีการสวดปัดรังควานและประพรมน้ำมนต์ตามหมู่บ้านและชาวบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลด้วย
การจัดงานบุญนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงผู้มีพระคุณในการที่จะทำให้บ้านเมืองสงบสุข
8. เดือนแปด
: บุญเข้าพรรษา
การเข้าพรรษาเป็นกิจของพระภิกษุสงฆ์สามเณรที่จะต้องอยู่ประจำในวัดใดวัดหนึ่งไปตลอด 3
เดือน กำหนดเอาตั้งแต่วันแรม 1
ค่ำเดือน 8 ถึงวันขึ้น
15 ค่ำเดือน 11
ห้ามมิให้พระภิกษุสามเณรไปพักแรมคืนที่อื่นเนื่องจากฤดูนี้เป็นฤดูแห่งเกษตรกรรม การห้ามพระภิกษุสามเณรเดินทางด้วยเหตุผลส่วนหนึ่งอาจมาจากการไม่ต้องการให้พระภิกษุสามเณรไปเหยียบย่ำพืชผลที่ชาวบ้านได้เพาะปลูกไว้ การทำบุญเข้าพรรษาเป็นประเพณีทางพุทธศาสนา โดยตรงจึงคล้ายกับภาคอื่นๆ ในประเทศไทย
ในพิธีจะมีการทำบุญตักบาตรถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณร มีการฟังธรรมเทศนา ชาวบ้านจะหล่อเทียนใหญ่ไว้ถวายเป็นพุทธบูชา และจะเก็บไว้ตลอดพรรษา
การทำเทียนถวายวัดในช่วงเทศกาลเข้าพรรษานี้ เป็นความเชื่อแต่โบราณว่า หากใครทำเทียนไปถวายวัด
เมื่อเกิดชาติใหม่ผู้นั้นจะเสวยสุขในสวรรค์ อานิสงส์ของการถวายเทียนนั้น หากมิได้ขึ้นสวรรค์แต่เกิดบนโลกมนุษย์ผู้นั้นจะมีความเฉลียวฉลาด มีสติปัญญาไหวพริบเลิศเลอ ประดุจแสงเทียนอันสว่างไสว
ปัจจุบันเกือบทุกจังหวัดในภาคอีสานได้จัดให้มีงานแห่เทียนเข้าภรรษา
โดยนำเทียนมาแกะสลักอย่างสวยงามประกอบกันเป็นเรื่องราวแล้วจัดแห่รอบหมู่บ้านหรือตัวเมืองก่อนนำไปถวายที่วัด จังหวัดที่มีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ คือ
จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดนครราชสีมา
ซึ่งมีขบวนแห่เทียนพรรษาที่ได้แกะสลักเทียนอย่างวิจิตบรรจงไปรอบตัวเมือง
เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ชมความงดงามของเทียนเข้าพรรษา และยังได้ประกวดขบวนแห่เทียนพรรษาด้วย งานแห่เทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี ถือเป็นงานที่สำคํญงานหนึ่งของประเทศ
มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกภาคและจากต่างประเทศมาชมความงดงามของเทียนพรรษามากมาย
9. เดือนเก้า
: บุญข้าวประดับดิน
บุญข้าวประดับดิน
เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งจะจัดขึ้นวันแรม 14
ค่ำเดือน 9 ชาวบ้านจะพากันทำข้าวปลาอาหารคาวหวาน
และข้าวต้มมัดพร้อมหมากพลูที่ห่อใส่ใบตองแล้ว นำไปวางที่โคนต้นไม้บริเวณวัดและรอบๆ บ้าน
(ที่เรียกว่าข้าวประดับดินคงเป็นเพราะเอาห่อข้าวและเครื่องเคียงไปวางไว้บนดิน) เพื่อให้ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้วหรือผีบ้านผีเรือนมากิน เพราะเชื่อว่าในช่วงเดือนเก้านี้
ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะได้รับการปลดปล่อยให้ออกมาท่องเที่ยวได้
ในพิธีบุญข้าวประดับดินชาวบ้านจะวางข้าวประดับดินไว้ พร้อมกับจุดเทียนบอกกล่าว (บางคนก็จะร้องบอกเฉยๆ ) ให้มารับเอาอาหารและผลบุญนี้ (การออกไปวางข้าวประดับดินจะออกไปวางตอนเช้ามืด
ประมาณตี 2 ตี 3 )
จากนั้นชาวบ้านจะนำเอาอาหารและสิ่งของไปทำบุญตักบาตรถวายทานแด่พระภิกษุ สามเณร
ในพิธีจะมีการสมาทานศีลฟังเทศน์และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศุลไปให้ผู้ที่ล่วงลับแล้ว
10. เดือนสิบ
: บุญข้าวสาก
เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย โดยจะมีการทำสลากให้พระจับ เพื่อที่จะได้ถวายของตามสลากนั้น เป็นการทำบุญที่ต่อเนื่องจากบุญข้าวประดับดินในเดือน 9
เพราะถือว่าเป็นการส่งเปรตหรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้วที่ออกมาท่องเที่ยวให้กลับสู่ดินแดนของตน ในเดือน
10 นี้
ชาวบ้านจะนำข้าวปลาอาหารและสิ่งของไปทำบุญที่วัดในตอนเช้า โดยนำห่อข้าวสาก (เหมือนกับห่อข้าวประดับดิน)
ไปวางบริเวณวัดพร้อมจุดเทียนและบอกให้ญาติมิตร ผู้ที่ล่วงรับไปแล้วมารับเอาอาหารและผลบุญที่อุทิศให้ มีการฟังเทศน์ฉลองข้าวสากและกรวดน้ำไปให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ชาวบ้านจะนำเอาข้าวสารที่พระสวดเสร็จแล้ว กลับไปที่บ้านด้วย โดยเอาไปวางไว้ตามทุ่งนาและรอบๆ บ้าน
เพื่อให้ผีบ้านผีเรือน
เจ้าที่เจ้าทางหรือผีที่ไร้ญาติขาดมิตรได้มารับส่วนบุญ
11. เดือนสิบเอ็ด
: บุญออกพรรษา
บุญออกพรรษาจัดทำในวันขึ้น
15 ค่ำ เดือน 11 เป็นการทำบุญสืบเนื่องมาจากบุญเข้าพรรษาในเดือน 8
ที่พระภิกษุสามเณรได้เข้าพรรษา
เป็นเวลานานถึง 3 เดือน
ดังนั้นในวันที่ครบกำหนด
พระภิกษุสามเณรเหล่านั้นจะมารวมกันทำพิธีออกวัสสาปวารณา คือเปิดโอกาสให้มีการว่ากล่าวตักเตือนกันได้
วันนี้จะเป็นวันที่พระภิกษุสามเณรจะได้มีโอกาสชุมนุมกันอย่างพร้อมเพียงที่วัด ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นวันสำคัญ และเป็นระยะที่ชาวบ้านหมดภาระในการทำไร่ ทำนา
อากาศในช่วงนี้จะเย็นสบาย
จึงถือโอกาสมาร่วมกันทำบุญ
มีการตักบาตร
ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์
รับศีลสวดมนต์ฟังเทศน์และถวายผ้าจำนำพรรษา
ตอนค่ำจะมีการจุดประทีปโคมไฟในบริเวณวัดและหน้าบ้าน บางท้องถิ่นจะมีการถวายปราสาทผึ้ง หรือต้นผาสาดเผิ้ง(สำเนียงอีสาน) เพื่อเป็นพุทธบูชา จังหวัดที่มีการถวายปราสาทผึ้งที่ยิ่งใหญ่ คือ
จังหวัดสกลนคร จะมีขบวนแห่ปราสาทผึ้งซึงเป็นปราสาทจำลองที่แกะสลักอย่างวิจิตบรรจงมาจากขี้ผึ้ง (คล้ายๆเทียน)
ไปรอบๆ
ตัวเมืองให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ชมความงดงาม
บางท้องถิ่นที่อยู่ใกล้แม่น้ำจะมีการแข่งเรือเพื่อความสนุกสนานและสามัคคีร่วมกันในตอนกลางวัน ส่วนในตอนกลางคืนจะมีการไหลเรือไฟ (ฮ่องเฮือไหล)
เพื่อเป็นการบูชาคารวะพระแม่คงคา
จังหวัดที่มีชื่อในเรื่องงานไหลเรือไฟ
คือ จังหวัดนครพนม ซึ่งมีการประกวดเรือไฟสวยงาม โดยการเอาไม้ไผมาต่อกันเป็นแพ แล้วประดับตกแต่งให้เป็นเรื่องราวด้วยโคมไฟ (เดิมนิยมใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดหลายพันอันประดับเรือ
ปัจจุบันอาจมีบ้างส่วนใช้แบตเตอรี่กับหลอดไฟแทน) เพื่อนำเสนอต่อผู้ชมที่รอชมริมฝั่งแม่น้ำโขง
12. เดือนสิบสอง
: บุญกฐิน
บุญกฐินเป็นการถวายผ้าจีวรแด่พระสงฆ์ซึ่งจำพรรษาแล้ว เริ่มตั้งแต่
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11
จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 12
มูลเหตุที่มีการทำบุญกฐินนั้นมีเรื่องเล่าว่า มีพระภิกษุจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
โดยระหว่างการเดินทางนั้นเป็นช่วงฝนตกและระยะทางไกลจึงทำให้ผ้าจีวรของพระภิกษุเหล่านั้นเปียกน้ำเปรอะเปื้อนโคลน ไม่สามารถหาผ้าผลัดเปลี่ยนได้ พระพุทธเจ้าได้เห็นถึงความยากลำบากนั้น
จึงมีพุทธบัญญัติให้ภิกษุแสวงหาผ้าและรับผ้ากฐินได้ตามกำหนด
ชาวบ้านจึงได้จัดผ้าจีวรนำมาถวายพระภิกษุในช่วงเวลาดังกล่าวจนกลายเป็นประเพณีทำบุญกฐินมาจวบจนปัจจุบัน
ก่อนการทำบุญกฐินเจ้าภาพจะต้องจองวัดและกำหนดวันทอดกฐินล่วงหน้า มีการเตรียมผ้าไตรจีวรพร้อมเครื่องอัฐบริขารและเครื่องไทยทาน มีการบอกบุญแก่ญาติมิตร
ตอนเช้าพิธีจะแห่ขบวนกฐินเพื่อนำไปทอดที่วัดและแห่กฐินเวียนประทักษิณ 3
รอบ จึงทำพิธีถวายผ้ากฐิน นอกจากนี้อาจมีการทำบุญจุลกฐิน (กฐินแล่นซึ่งเป็นการทำผ้าไตรจีวรจากปุยฝ้ายแล้วนำไปทอดให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมง
นับตั้งแต่เวลาเริ่มทำเพราะเชื่อว่าจะได้บุญมาก) ปัจจุบันชาวอีสานที่ไปทำมาหากินต่างถิ่น
มักจะรวมตัวกันตั้งกองกฐินเพื่อนำกลับไปถวายที่วัดในหมู่บ้านตนเอง
ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำบุญแล้วยังได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวและญาติมิตรด้วย